วันอาทิตย์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เรื่องสยองในโรงเรียน

เรื่องสยองในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่ง

ในโรงเรียนทุกโรงเรียนที่ก่อสร้างมานานล้วนแต่มีเรื่องเล่าที่สยองขวัญทั้งนั้น เรื่องที่ผมนำมาเล่านี้ก็เป็นเรื่องสยองขวัญที่เกิดขึ้นในโรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในภาคกลาง  ที่สร้างมานานหลายปี เรื่องทุกเรื่องเป็นเรื่องเล่าที่มีคนประสบมาหรือได้ยินมา ไปดูกันเลยครับ
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิง ไม่เกี่ยวข้องกับบุคคลหรือสถานที่ที่มีอยู่จริงแต่อย่างใด โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน 

1.วิญญานสัตว์

อาคารไม้แห่งหนึ่งเป็นอาคารที่เก่าแก่และสร้างมานานแล้ว มีทั้งหมด 3 ชั้น ตั้งอยู่ในด้านหลังของโรงเรียนติดกับโรงอาหาร อาคารแห่งนี้มีเรื่องเล่าที่น่าขนลุกว่า ในตอนเย็นหลังเลิกเรียน อาคารแห่งนี้จะไม่ค่อยมีคนอยู่ในตอนเย็นเนื่องจากไม่ค่อยมีห้องพักครูหรืออะไรเท่าไร ส่วนมากอาคารนี้จะปิดทางขึ้นช้ากว่าอาคารอื่น ด้วยความที่อาคารแห่งนี้เป็นอาคารไม้และไม่มีระเบียง เป็นเพียงแค่กำแพงที่มีหน้าต่าง หลังจากที่ปิดหน้าต่างทุกบานแล้ว อาคารแห่งนี้ก็จะมืดสนิท ห้องเรียนภายในอาคารแห่งนี้ไม่มีประตูทางเข้า จะเป็นห้องที่มีเพียงกำแพงสั้นๆกั้นตรงกลางและกั้นระหว่างห้องเท่านั้น และที่สำคัญหลอดไฟของอาคารนี้ใช้การได้ไม่กี่ดวงเท่านั้น ฉะนั้นการที่จะขึ้นมาหยิบกระเป๋าที่อาคารนี้ในตอนเย็นเพียงคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากทำแน่นอน  
'เจมส์'  เด็กนักเรียน ม.3 ทำเวรอยู่จนถึงเวลาประมาณ 4 โมงครึ่ง ซึ่งยังมีผู้คนพลุกพล่านอยู่ในโรงเรียน เจมส์มองดูนาฬิกาและเดินไปเก็ยไม้กวาดจากนั้นก็เดินลงอาคารและไปที่หน้าโรงเรียนเพื่อซ้อมกีฬา เนื่องจากไกล้วันกีฬาสีแล้ว  เจมส์ซ้อมจนถึงเวลาประมาณ 5 โมงครึ่งจึงขออนุญาติไปหยิบกระเป๋า เนื่องจากนึกขึ้นได้ว่าลืมนำลงมาด้วย ในเวลาตอนนั้นก็ยังถือว่ามีผู้คนอยู่ในโรงเรียนอยู่ส่วนหนึ่ง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกนักกีฬาที่ซ้อมกันปกติ  แต่อาคารแห่งนี้เนื่องจากไม่ค่อยมีคนเท่าไรนักอาคารแห่งนี้จึงไม่มีเสียงคนคุยกันเลยนอกจากโรงอาหารที่จะเล็ดลอดเข้ามาบ้าง  เจมส์เดินขึ้นบันไดชั้น 2 หน้าต่างทุกบานถูกปิดหมด เนื่องจากเป็นช่วงหน้าหนาวทำให้ค่อนข้างมืดเร็ว  เจมส์รีบเดินไปที่ชั้น 3 และควานมือหาสวิสต์ไฟ  เจมส์เปิดสวิสต์ทุกตัว  ไฟในชั้นนั้นสว่างเพียง 2 ตัว นั่นคือหน้าห้องของเจมส์เท่านั้น ด้วยความที่อาคารแห่งนี้มืดมากและไม่มีเสียงใดๆนอกจากเสียงฝีเท้าของเจมส์ที่เดินเหยียบลงบนแผ่นไม้ดังเอี๊ยดอ๊าดน่ารำคาญ  ห้องของเจมส์อยู่สุดทางเดินที่มีประตูบานใหญ่อยู่ข้างๆ  เจมส์รีบเดินเข้าห้องและหยิบกระเป๋าออกมา  เจมส์มองมาที่บันไดทางลง มันมืดมากแต่เจมส์ก็ต้องเดินไป  เวลาตอนนั้นเนื่องจากเจมส์แวะที่อื่นๆมาทำให้เวลาล่วงเลยจนถึง 6 โมงกว่าแล้ว และเป็นเวลาที่ภารโรงจะต้องมาปิดอาคาร  เจมส์รีบเดินไปจนกระทั่งถึงหัวมุมบันได  
แมวสีดำกระโดดตัดหน้าเจมส์ไป  เจมส์ผงะชั่วครู่และตกใจมาก เนื่องจากอาคารแห่งนี้ไม่มีแมวเลยสักตัว แล้วเจ้าแมวตัวนนี้โผล่มาจากไหนกันแน่?  เจมส์หันไปตามทางที่แมวกระโดด  แมวนัยส์ตาสีเหลืองตัวนั้นกำลังมองมาที่เจมส์อย่างไม่ละสายตา  ด้วยความที่เจมส์เป็นคนที่ชอบเล่นกับสัตว์ เจมส์จึงเดินไปเพื่อที่จะลูบหัวแมว  ทันใดนั้นแมวตัวนั้นก็วิ่งทะลุกำแพงไปอย่างรวดเร็ว  เจมส์ตกใจสุดขีดและรีบวิ่งลงบันไดโดยที่ยังไม่ได้ปิดไฟ เสียงแมวร้องไล่หลังตามมาอย่างน่ากลัว  ถึงจะมืดแต่เจมส์ก็สามารถวิ่งลงมาข้างล่างได้อย่างปลอดภัย...



2.ผู้หญิงชุดขาว

อาคารไม้หลังเก่า มีทั้งหมด 4 ชั้น อาคารนี้มีห้องพักครูอยู่เยอะ จึงไม่ค่อยมีอะไรที่ต้องน่าเป็นห่วงนอกจากครู  ซึ่งครูที่อยู่ส่วนใหญ่จะเป็นครูภาษาต่างประเทศซึ่งจะนั่งทำงานจนเย็น อาคารนี้จึงปิดช้ามาก แต่ส่วนใหญ่แล้วอาคารนี้จะเปิดเร็วกว่าอาคารอื่นๆเสมอ  อาคารนี้เชื่อมต่อกับโรงยิมอยู่ชั้น 3 สามารถเดินผ่านโดยทางเชื่อมระหว่างอาคารได้ โรงยิมนั้นจะเปิดตลอดเวลา เนื่องจากจะมีห้องพักสำหรับ วงโย และนักกีฬา ที่มากันเช้าๆ หรือกลับบ้านดึกนั่นเอง   
'ริว'  เด็กนักเรียนชั่น ม.1 เป็นคนที่มักจะมาเช้ามาก  ในช่วงฤดูหนาวนี้ตอนเช้าๆค่อนข้างเย็นและมืดมาก  อาคารไม้ ยังไม่เปิด  แต่อาคารโรงยิมและทางเชื่อมอาคารยังสามารถไปได้  ริวจึงได้ใช้ทางนั้นเพื่อขึ้นห้องเรียนก่อนประจำ  อาคารไม้ เหมือนอาคารไม้อีกหลัง ตรงที่ไม่มีระเบียงทางเดิน เป็นเพียงกำแพงกั้นและหน้าต่างปิดหมดทุกบาน  อาคารไม้ ประตูห้องจะปิดหมดทุกห้อง  ห้องพักครูก็ยังไม่มีใครมาในตอนเช้า  ริวเดินขึ้นอาคารโรงยิม และตรงไปที่ชั้น 3  ซึ่งทั้ง 2 ชั้นที่ผ่านมาจะมีไฟสว่าง  แต่พอชั้น 3 ที่เป็นโรงยิม ซึ่งไม่มีใครมานั้นมืดสนิท  และทางเชื่อมระหว่างอาคารที่มืดมากถ้าไม่ระวังอาจเดนสะดุดล้มได้  อาคารไม้ ในวันนั้นเงียบมาก  เหมือนภารโรงจะยังไม่มาเพื่อทำการเปิดห้อง  ริวจึงรู้ตัวว่าตนเองมาเช้าเกินไปแล้ว  ริวคิดจะลงไปข้างล่างแต่กลัวโดนภารโรงจับได้ จึงเดินต่อไป  ถึงตรงทางเข้าอาคารไม้ ริวก็หยุดชะงัก  
ผู้หญิงใส่ชุดขาวผมยาวยืนอยู่ที่หน้าบันไดทางขึ้นชั้น 4  ริวตกใจมากและก้าวขาไม่ออก  ได้แต่พยายามรวบรวมสติเพื่อก้าวขาให้ลงไปจากอาคารนี้ อาคารนี้มีห้องพระอยู่ชั้น 4 ซึ่งถ้าธูปยังไม่ดับก็จะมีกลิ่นลอยออกมาตามช่องหน้าต่าง  ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้ามามองริว  ใบหน้าของเธอขาวซีด  ดวงตาสีขาวโพลน  จ้องมองมาที่ริว และพูดขึ้นว่า  "จะข้ามไปไหม"  
ริวตั้งสติได้และรีบวิ่งลงมาข้างล่าง คนอื่นๆที่อยู่ชั้น 2 ต่างแตกตื่นเนื่องจากเสียงที่ดังมากของริว  ริวเล่าเรื่องให้รุ่นพี่วงโยฟัง ทำให้เรื่องนี้ถูกเล่าต่อๆกันไปต่างๆนาๆ  ถึงริวจะมาเช้าแค่ไหนแต่นับจากนี้ต่อไปเขาจะไม่ยอมขึ้นตึกก่อนสว่างแน่นอน 


3.กระดาษสีแดง อาคารห้องสมุด

อาคารห้องสมุดเป็นอาคารที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ ตั้งอยู่ในมุมหนึ่งของโรงเรียนซึ่งถูกล้อมโดย อาคาร 4 และห้องพยาบาล ทางเข้าไปยังอาคารห้องสมุดนั้นแคบ มีทางเดินปกติอยู่ 2 ทาง คือทางด้านหลังห้องพยาบาลซึ่งติดกับอาคารไม้อีกหลัง และทางหน้าห้องพยาบาลที่ติดกับอาคารไม้ และอีกทางที่เป็นด้านหลังของโรงเรียน ซึ่งเป็นที่เก็บอุปกรณ์ต่างๆเกี่ยวกับไม้  เวลามีงานอะไรทางด้านหลังนี้จะเป็นที่ทำอุปกรณ์ต่างๆ  อาคารไม้นั้นเป็นอาคารที่มีห้องสมุดและมีมีทางเชื่อมกับอาคารไม้อาคารนี้จะเปิดช้ากว่าอาคารอื่น และปิดเร็วกว่าอาคารอื่น ดังนั้นในตอนเช้าและตอนเย็นอาคารแห่งนี้จึงไม่ค่อยมีคน  แต่ด้วยความที่อาคารแห่งนี้เป็นอาคารที่อยู่มุมสุดของโรงเรียนทำให้ตอนเย็นๆตรงหน้าอาคารก็จะมีคนมานั่งเล่นกันเป็นประจำ แถมมีที่นั่งและต้นไม้ที่ร่มรื่น หน้าอาคารห้องสมุดจึงเป็นที่ที่เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือ ทานข้าว แถมมีห้องน้ำหญิงข้างล่างอาคารด้วย  อาคารแห่งนี้จึงไม่น่ามีเรื่องอะไรที่น่าเป็นห่วง 
'ฟลุค' เด็กนักเรียนชั้น ม.2 เป็นคนที่กลับบ้านเย็นเนื่องจากต้องซ้อมกีฬา  เขาซ้อมกีฬาจนถึง 5 โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาที่ยังมีคนอยู่ในโรงเรียนอยู่ส่วนหนึ่ง  แต่ไม่ใช่อาคารห้องสมุดซึ่งไม่มีใครอยู่เลย ฟลุครีบวิ่งไปที่อาคารห้องสมุดเพื่อไปเอาเสื้อผ้าที่ลืมเอาไว้  ถึงจะปิดเร็วแต่อาคารทุกอาคารก็จะปิดหลัง 5 โมงเสมอ  ฟลุคเห็นว่าอาคารยังเปิดอยู่ก็โล่งอก และเดินขึ้นอาคารไปจนถึงชั้น 3 ซึ่งเงียบมากไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย  อาคารนี้เป็นอาคารปูนมีระเบียงทางเดินจึงทำให้สว่างและมีลมเย็น  ห้องทุกห้องยังคงเปิดไว้อยู่เพราะภารโรงยังไม่ได้ขึ้นมาปิด  ฟลุคเดินต่อไปที่ชั้น 4 และเดินเข้าไปในห้องเพื่อหยิบเสื้อผ้าและจะลงไปซ้อมกีฬาต่อ ฟลุคสังเกตเห็นกระดาษสีแดงที่ตกอยู่หน้าห้องเก็บของตรงข้ามห้องของฟลุค  ฟลุคก็ไม่ได้สนใจอะไรจนกระทั่งมันปลิวมาตกตรงข้างหน้า และมีข้อความเขียนอยู่ ฟลุคจึงหยิบมาอ่าน
"ด.ช....."  กระดาษนั้นเขียนชื่อฟลุคไว้ด้วยหมึกสีดำ  ฟลุคมองสักพักและก็งงมากว่าทำไมจึงมีชื่อตนเองไปปรากฏบนกระดาษ  จึงคิดว่าเพื่อนคงแกล้งเขียนเอาไว้และทิ้งเอาไว้แถวนี้ ฟลุคไม่ได้สนใจอะไรจึงนำไปทิ้งที่ถังขยะในห้องและเดินลงบันไดไป  พอถึงชั้น 3 ฟลุคเห็นกระดาษสีแดงตกอยู่ตรงบันได จึงคิดว่าคงมีการแกล้งกันอีก  พอดูข้อความในกระดาษนั้นก็ยังเป็นชื่อฟลุคอยู่ดี  แต่ฟลุคก็ไม่ได้คิดไรมาก คงเป็นเพียงการแกล้งกันธรรมดา เดี๋ยวพรุ่งนี้จะลองถามเพื่อนดู  ฟลุคเดินต่อไป 
ทันใดนั้นนกกระจอกตัวหนึ่งก็ตกลงมาตรงหน้าฟลุค  เลือดของนกกระจายไปทั่วพื้น  ฟลุครู้สึกตกใจมากเพราะสิ่งนั้นเกิดต่อหน้าต่อตา ฟลุครีบเดินลงบันไดไปจนถึงชั้น 2 ซึ่งเป็นชั้นของห้องสมุด  แต่ก็พบกับกระดาษสีแดงวางอยู่บนพื้นมากมาย ฟลุครู้สึกว่าการแกล้งแบบนี้นอกจากจะไม่ได้อะไรแล้วยังทำให้เกิดขยะในโรงเรียนอีกด้วย  ฟลุครีบตามเก็ยกระดาษสีแดงที่มีชื่อตนเองที่กองตามพื้นออกเพื่อไม่ให้เป็นเรื่องใหญ่  จู่ๆก็มีนกกระจอกนับสิบตัวตกลงมาจากเพดานตรงหน้าฟลุค  เลือดกระจายไปทั่วพื้นส่งกลิ่นคาวออกมา  ฟลุคตกใจและกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้นมาก  ฟลุคทิ้งกระดาษทั้งหมดลงพื้นและวิ่งลงจากอาคารอย่างเร็วที่สุดเพื่อไปให้พ้นจากซากศพของนกพวกนี้  ฟลุคนำเรื่องนี้ไปเล่าให้คนอื่นฟัง และพามาดูสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทั้งอาคารนั้นไม่มีใครพบซากศพของนกหรือกองกระดาษสีแดงเลยแม้แต่แผ่นเดียว

4.อาจารย์ห้องดนตรีไทย 

ห้องดนตรีไทยใครๆก็คงรู้ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์มาก เพราะการเล่นดนตรีได้นั้นต้องมีครู และครูดนตรีไทยก็ล้วนเป็นผู้ที่น่าเคารพนับถือ  จึงไม่มีใครคิดที่จะลบหลู่หรือดูหมิ่น ห้องนี้ก็จะมีอาจารย์ที่เป็นอาจารย์ประจำที่ทำหน้าที่ดูแลห้องนี้  อาจารย์ท่านได้ฝึกลูกศิษย์มาหลายรุ่นแล้ว  ท่านมักจะบอกว่าห้องแห่งนี้น่ากลัวยิ่งนัก  ถ้าใครที่ลบหลู่หรือดูหมิ่นเครื่องดนตรีไทยก็จะต้องเจอดีกันทุกคน 
'ธี'  เด็กนักเรียนชั้น ม.2 เขาจะมาเช้าทุกวันและห้องของเขาก็ผ่านห้องดนตรีไทย  ห้องดนตรีไทยตั้งอยู่ตรงอาคารไม้ ชั้น 1  ซึ่งธีก็ไม่ได้อยากผ่านห้องนี้เท่าไร และด้วยความที่ธีมาเช้านั่นเอง  ในวันนั้นธีเห็นผู้หญิงสูงวัยยืนอยู่หน้าห้องดนตรีไทยและมองมาที่ธี  แต่ทีก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะอาจจะเป็นอาจารย์ที่มาใหม่ก็ได้แต่ทันใดนั้น อาจารย์คนนั้นหันหลังเข้าห้องดนตรีไทยและหายไปทันที ซึ่งธีตกใจมากและนับแต่นั้นธีก็ไม่กล้าที่จะมองห้องดนตรีไทยในตอนมืดๆอีกเลย

6.มือประหลาด

อาคารหน้าโรงเรียนเป็นอาคารแรกที่ถูกสร้างในโรงเรียนนี้  และได้รับการปรับปรุงหลายครั้งด้วยกัน และตอนนี้อาคารแห่งนี้ก็มีลิฟต์แล้ว  อาคารนี้มี 6 ชั้น  เป็นอาคารปูนมีระเบียง  มีห้องเรียนและห้องหมวดมากมาย  แต่อาคารแห่งนี้น่ากลัวกว่าอาคารอื่นหลายเท่านัก  เรื่องมีอยู่ว่าอาคารแห่งนี้ที่ได้มีลิฟต์ตัวแรกนั้นผู้ที่ใช้จะเป็นครู เพราะครูหลายท่านก็เดินขึ้นมาสอนนักเรียนไม่ไหว  อาคารแห่งนี้มีเรื่องเล่ามายาวนานถึงความน่ากลัว และถ้าไปทีั้ชั้น 6 ซึ่งยังคงมีบันไดต่อไปแต่ถูกปิดเอาไว้และถ้ามองขึ้นไปที่บันได้จะพบกับทางเชื่อมไปยังดาดฟ้า
'กาย' เด็กนักเรียนชั้น ม.3 เป็นลูกเสือ ต้อนนอนค้างที่โรงเรียนเพื่อทำกิจกรรมที่จะเกิดขึ้นคือการเข้าค่ายลูกเสือ  กายต้องนอนที่อาคารนี้เพราะมีห้องสำหรับลูกเสืออยู่  วันนั้นในตอนประมาณ 1 ทุ่ม ด้วยความที่เป็นคนซุกซนจึงได้เล่นกับเพื่อนๆที่ชั้น 6 และพบเงาบางอย่างอยู่ด้านบน ด้วยความกลัวและตอนนั้นก็ไม่ค่อยมีไฟด้วย  กายกับเพื่อนจึงลงไปข้างล่าง และนำเรื่องนี้ไปบอกเพื่อน  เพื่อนๆก็สนใจและพากันมาดู  กายกับเพื่อนอีก 3 คนได้มาที่ชั้น 6 และมองไปยังเงานั้น ด้วยความกลัว เพื่อนของกายจึงชวนลงไปข้างล่าง  ทันใดนั้นกายสังเกตุเห็นมือที่มีขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากความมืด และเคาะที่ราวบันไดเสียงดัง  เพื่อนของกายและกายก็วิ่งลงไปข้างล่างทันทีอย่างไม่คิดชีวิต  แต่พอกายลงมาข้างล่างก็พบเพื่อนนั่งรออยู่  และบอกว่ากายวิ่งลงมาคนเดียว  งั้นคนที่วิ่งลงมากับกายคือใครล่ะ!!


วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ประสบการณ์ที่เจอกับตัว

โจ่วๆสวัสดีจ้าาาา


1.ผีคนงาน

"วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องประสบการณ์ของผมเอง
คือว่าที่ร.ร.ของผมหน่ะมันมีเรื่องเล่าน่ากลัวมากมายเลยละนะ
แต่ผมเองก็อรู้มาไม่เยอะหรอกนะ แต่เรื่องที่จะเล่นค่อไปนี้คือผมเจอมาเอง"


เริ่มเลยละกันนะ
คือว่าวันนั้นเป็นวันปกติ แบบทุกวันแหละนะ ผมเองตอนนั้นก้ออยู่เเค่ม.2ด้วย
เลยไม่ค่อยรู้เรื่องแบบนี้ของร.ร.มากนัก
ผมก้อได้จับกลุ่มกับเพื่อนคุยกันเรื่องผีๆ หลอนๆของรร. ตอนนั้นก้อเป็นเวลา5โมงเเล้ว
ช่วงนั้นหน้าหนาวด้วยเลนมืดไว ผมก้อได้คุยกับเพื่อนอยู่จากนั้น




ผมก้อได้แหล่มองไปทั่ว จากนั้นผมก้อได้เจอ เป็นสิ่งที่จะเรียกว่าน่าตกใจเลยก้อได้
คือว่า ผมมองเห็น เงาของชายรุปร่างใหญ่คนหนึง นั่งห้อยขาลงมาจากทางเดินเชื่อมระหว่าตึก
เป็นชั้น3ของตึก แต่นั้นแหละคับที่ทำให้ผมตกใจ เพราะว่าทางเดินชั้น3นั้น ได้ล็อคประตูไว้
และกันสาดของตึกก้อไม่มี จึงไม่มีทางที่จะปีนไปได้ และตอนนั้นตึกก้อปิดแล้ว
จึงเป็นไปไม่ได้อีกเช่นกันที่จะมีนร.อยู่ในตึก 
และต่อจากนั้นผมได้เห็นสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ชายคนนั้น......พลัดตกกึกลงมา แต่ทว่าในเวลานั้น
ขณะเขากำลังล่วงลงมา เขานั้นกลับหายไปในอากาศอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ผมตาค้างไปสักพักแล้วเพื่อนได้ตบผม เพราะเรียกแล้วผมไม่หัน ผมจึงได้สติ
ผมกำลังจะเล่าให้เพื่อนฟังว่าผมเห็นอะไร แต่ทว่านั้นเพื่อนผม ได่พูดขึ้นมาว่า
"เห้ยมึง พวกมึงเคยได้ยินเกี่ยวกับคนงานที่ตกลงมาตาย ตงตึก4ชั้น3ปะวะ"
ตอนนั้นแหละคับผมนี้นิ่งเลย เพราะว่ามันคือจุดเดียวกันกับที่ผมมองเห็น
เงาของผู้ชายพลัดตกแล้วหายไป.....

จบแล้วคับ
ขอบคุณที่อ่านมาน้าาา
แล้วจะหาเรื่องมาเล่านะ
ปล.รูปรีบวาดเลยเละและใช้กระดาษรียูสจึงมีตัวอักษรอยู่บางๆนะเเจ้


2.ศาลพระภูมิปริศนา

"จ้า~~เจอกันอีกแล้วน้าาา วันนี้ผมก้อจะมาเล่าเรื่องศาลนะ
เป็นเรื่องที่เกิดในร.ร.ของผมอีกเช่นเคย มันเป็นเรื่องต่อจะเรื่องที่แล้ว
คือจากเจอเรื่องที่แล้วก้อผมมา1วัน ผมก้อไปซนแล้วเจอสิ่งนี้ขึ้น..."

วันนี้ก้อเป็นเหมือนวันก่อนๆที่ผมกลับบ้านเย็นและจับกลุ่มคุยเรื่องลี้ลับในร.ร.อีกเช่นเคย
หลังจากที่เมื่อวาน ผมเจอผีคนงานที่ตกตึกในเรื่องที่เล่าไปแล้ว
วันนี้พวกผมก้อมาคุยกันอีก เรื่องศาลที่อยู่บนอาคาร 1 ตรงบันไดไปดาดฟ้า
ซึ่งบันไดนั้นได้ปิดตายไปแล้ว แต่ยังเงยหน้าไปมองข้างบนได้อยู่
เขาเล่ากันว่า เเถวๆนั้นมักมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นบ่อยๆ และมีธงต้องสาปที่คนใดมองแล้วต้อตาย
ที่เก็บไว้ด้วย พอคุยกันเเค่นั้นผมเลยพูดออกมา
"เห้ย..เมิงไปดูกันปะ"
แค่นั้นแหละคับยกกลุ่ม
วิ่งไปที่ตึกทันที่เลยคับ แต่สุดท้ายก้อขึ้นมาไม่หมด มีเพื่อนคนนึงไม่ยอมขึ้นมาผมเลยมากัน
 5 คน ระหว่างทางขึ้นตก ผมได้สังเกตว่า ตึกนั้นไม่มีคนเลยแต่ผมก้อคิดว่า คงเป็นเพราะมันเย็นแล้ว
และก้อจะได้เวลาปิดตึกแล้วด้วย ผมกับเพื่อนๆก้อเดินขึ้นไปเรื่อยๆ พอถึงชั้น 4 เริ่มมีลมพัด
แต่ลมนั้นพัดแรงมาก ผมก้อสงสัยทั้งๆทีเป็นหน้าร้อนมีลมเเรงแบบนี้ได้ไงกัน แถมยังรู้สึกเย็นอีก
เพราะทุกๆวันที่ผ่านมานั้นไม่เคยมีลมพัดในเวลานี้และแรงขนาดนี้มาก่อน จากนั้นผมก้อเดินต่อไป
ผมมาถึงชั้น6แล้ว ผมได้ยินเสียงหมาเห่า หอน แต่ที่ร.รของผมนั้นไม่มีหมาและ ด้านข้างของร.ร.
นั้นคือฟิตเนตและตึกห้องเช่า และหลังร.ร.ผมเดินผ่านประจำมันก้อไม่มีหมาเลย
ตอนนั้นผมเริ่มกลัวๆ แต่ผมก้อคุ้มสติไว้อยู่ ผมมเดินมาถึงบันไดปิดตายแล้ว ผมและเพื่อนๆ
ได้เงยหน้าขึ้นไปมองด้านบน สิ่งที่ผมเหนคือ ศาลเจ้าสีแดง ในขณะนั้นเอง
มีเสียงดังขึ้น"โครม...ตุบ" เสียงของสิ่งของหล่นพื้นแต่ ถว่าบริเวณนั้น ไม่มีโต๊ะหรือเก้าอี้
ผู้คน และแม้กระทั่งสิ่งของ หรืออะไรเลย มีแค่พวกผม 5 คนเท่านั้น แต่เสียงที่เกิดขึ้น มันไกล้มากๆ
เหมือนกับมีคนโยนของลงมา ตรงบริเวณที่พวกผมยื่นอยู่ แต่ในครั้งเเรกพวกผม
ยังไม่ได้เป็นไร ต่อมาเริ่มทวีความรุนเเรงขึ้น บ่อยขึ้น ดังขึ้น เสียงมันค่อยๆใกล้เข้ามาๆ เรื่อยๆ
พวกผมในตอนนั้นเอง ก้อวิ่งกันแบบสุดๆ พอผมลงมาถึงข้างล่าง ผมเจอเพื่อนที่รอพวกผมอยู่
ผมได้เล่าเหตการณ์นั้นไป แต่เธอกลับตอบมาว่า"บ้าป่าวหมาที่ไหนหอน ฉันไม่เห็นจะได้ยินเลย"
ผมช็อคมาก ทั้งๆที่เสียงของหมาที่หอนนั้น ดังมากๆดังมาถึงชั้น6 แต่ทำไมคนที่อยู่ข้างล่าง
กลับไม่ได้ยินมันกัน....

จบละแจ้~~~
เป็นไงมั่งเอย สนุกไหม ช่วยๆกันคอมเม้นหน่อยน้าา




3.มันเกิดเมือตอนป.4 ....

"เย้~~~~หายไปนานเลย อิๆ กลับมาแล้วกลังจากปั่นงานเสร็จ
วันนี้จะเล่าเรื่องที่เก่ามากๆของผมเลย"

ในวันนั้นเป็นวันปกติเช่นเคยในตอนนั้นผมยังอยู่แค่ป.4 ยังไม่ย้ายมาร.ร.ปัจจุบันเลย
ในวันั้นผมนัดกับเพื่อนว่าจะไปกินก๋วยเตื๋ยวกัน เพื่อนมันเลยบอกว่าเดี๋ยวไปห้องน้ำแปปนึง
ผมก้อรอจนเห็นมันเดินออกมา แต่วันมันดันวิ่งขึ้นตึกไปผมก็นั่งรอสักพัก ผมเริ่มเบื่อเลยขึ้นไปตาม
ผมค่อยเดินขึ้นอย่างช้าๆ ตอนนั้นเป็นเวลา4โมงจะ5โมงเย็็นแล้ว ท้องฟ้าสีเหลืองๆ ส้มๆ มีแสงแดดอ่อนๆ
ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ผมจึงเดินขึ้นไปเลยๆ ณ ตอนนั้นเองจู่มีมือขนาดใหญ่ยื่นออกมาตีที่ราวบันได
เนื่องจากราวบันไดเป็นเหล็กมันจึงมีเสียงดังมา แล้วสั่นแรงมากๆ ขณะที่มือใหญ่นั้นกำลังตีราวบันได
จู่ก้อมีเสียงกรีด สูงและแหลมมากๆ ดังขึ้น ผมเริ่มคิดละว่า"ไม่ใช่ละ ไม่ตลกละ"
ในช่วงนั้นผมกำลังเด็กอยู่ ดังนั้นตอนที่เห็นมือนั้นจึงไม่ได้ตกใจอะไรมาก
คิดว่าเพื่อนแกล้ง(ทำไมผมโง่งี้วะ) ผมเลยรีบวิ่งไปดูตรงมุมทางเดินที่มีมือยื่นออกมา
ตงลงคือทางเดินโล่ง ไม่มีคน ผมเลยลงมาแล้งเจอเพื่อน เพื่อนบอกวิ่งขึ้นตึกไปทำไม
เรียกก็ไม่่หัน วิ่งตามไปก็ไม่เจอ ผมเลยสตั้นแล้วมาคิดทบทวนว่า มีขนาดนั้นจะเป็นคนได้ยังไง
และมุมตรงที่เดินที่มีมือออกมา ห่างกับบันได 2 เมตร เสียงกรีดทำไมมีคนได้ยิน
ทำไมเพื่อนผมถึงไม่ได้ยิน ทำเพื่อนวิ่งตามผมไปไม่เจอผม แล้วคนที่ผมเห็นคือใคร!?

จบละค้าบบ 555+

วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

PsyX | บทที่ 1

PsyX
บทที่ 1

"อ้าวเฮ้ย! ตื่นสิ! ไอ้หนุ่ม.... ตื่น......" เสียงชายฉกรรภ์ผู้หนึ่งกำลังตระโกนปลุกผม มันน่าฉงนมาก ว่าผมมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร เอ่อ แล้วผมคือใครละ โอย......

"โอ๊ะ โอยยย" ผมรู้สึกปวดหัวไปหมด
"วันนี้วันที่เท่าไร เดือนอะไร โอยย ผะ..ผมอยู่ไหน..."
"เงียบไปเหอะน่าไอ้หนู เลือดบนหัวแกนี่ไหลจวนจะท่วมถนนแล้ว.."

"หะ ห้ะ!!! โอย....." ผมรู้สึกเจ็บยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อรู้ตัวว่าหัวผมแตก!!!
"ปัดโถ่! แถวนี้ไม่มีใครอยู่เสียด้วย มาบ้านฉันก่อนละกันนะ ไอ้หนุ่ม" ลุงแก่ใจดีกำลังพาผมไปบ้านเขา ผมเจ็บมากเลย โอยยย.....
.
.
.
"เฮ้ Marry มาช่วยฉันสักหน่อย มา..."
"ว้ายยย แกพาใครมาเนี่ย!!"
"เอาเหอะหน่า แค่ไอ้หนุ่มหัวแตกข้างทางนะ"
"เวรกรรมจริงๆ แถวนี้ไม่มีพวกหมอเสียด้วย"
"บนอยู่นั่นแหละ มาช่วยเร็วๆ" รู้สึกตัวอีกทีผมก็มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว เป็นบ้านไม้เก่าๆ หลังหนึ่ง และมีลุงแก่ที่ช่วยผม กับป้าแก่ผมหยิกมาล้อมผมอยู่ด้วยความเป็นห่วง
"อ้าว ไอ้หนุ่มตื่นแล้วเหรอ ขอโทษด้วยนะพอดีพวกหมอมันอยู่ไกลมาก"
"เจ็บนิดนึงนะจ้ะพ่อหนุ่ม..." อะไรกันป้าคนนี้จะทำอะไรผม!? มือเหี่ยวๆ พร้อมกับผ้าสะอาดๆ ของป้ากำลังแตะที่แผลบนหัวผม แต่ความรู้สึกเจ็บที่ควรมี มันกลับกลายเป็นความรู้สึกที่สบายๆ แทน
"เบาๆ นะ Marry"
"เลือดหยุดไหลแล้วละจ้ะ คราวนี้แหละเจ็บของจริง"
"อะ อะไรนะครับป้า?" นี่ป้าจะทำอะไรผมเนี่ย?
"อ้าว หุบปากไปซะไอ้หนุ่ม คราวนี้แหละเจ็บของจริง ฮ่า ฮ่า" ลุงแก่หยิบผ้ามายัดใส่ปากผม
"อร้ากกก" ผมร้องลั่นพร้อมกับเอาฟันไปกัดผ้าที่อยู่ของผม เมื่อเข็มงอๆ มันกำลังแทงเข้ามาบนหัวผม ถึงจะรู้ว่ามันเป็นการสมานแผล แต่มันก็ทรมานเสียนี่กะไร.....

"อ้าว เสร็จแล้วละจ้ะ"
"ฮ่าฮ่า นี่ขนาดไม่ได้เย็บมาตั้งนานนะเนี่ย Marry" อ้าวผมหลับไปอีกแล้วเหรอ แต่ก็ดีละเพราะว่ามันบรรเทาอาการเจ็บได้ดีมาก ....
"เธอเป็นลูกเต้าเหล่าใครเนี่ย แล้วทำไมถึงไปนอนหัวแตกอยู่ข้างทางอย่างงั้นละ" ลุงซักถามความเป็นมาผม
"อะ งั้น ขอบอกชื่อฉันก่อนละกัน ฉันชื่อ John ส่วนนี่เมียฉัน Marry" 
ผมอยากบอกชื่อของผมมาก แต่ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน
"ผะ ผม ไมรู้ว่า ผมคือใคร" ผมตอบไป
"แย่ละ สงสัยความจำเสื่อมแน่ๆ เลย..... โอ้ยยยยย" ปึ้งงงงง ลุงแก่ยังไม่ทันพูดจบ ก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนกับ "ยานอวกาศ" พุ่งกระแทกเข้ามา จนส่วนหน้าบ้านพังหมด "ว้ายยยย" เสียงป้ากระโกนร้องลั่น เมื่อเห็นลุงแก่ใจดี ไม่สิลุงJohn นอนแน่นิ่งอยู่
นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือ ไอ้ยานที่อยู่บนหน้าผม แล้วทันใดประตูยานก็เปิดออก
"อ่าห้ะ แกอยู่ที่นี่ นี่เอง PsyX(ไซเอกซ์)" ชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันกับผมพูดทักทาย แล้วกำลังเดินออกจากยาน
"แกเป็นใคร กล้าดียังไงมาพังบ้านฉัน!!! " คุณป้า Marry เมื่อรู้แล้วว่า ลุง John ตายแล้ว ก็เริ่มคุมอารมณ์ไม่อยู่
"หุบปากไปซะ อีแก่!!"  ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ กรงจักรที่ติดอยู่ที่ข้างลำตัวของเขาก็พุ่งออกไป ตัดหัว คุณป้า Marry!!!
 นี่มันเกินไปแล้ว ไอ้หมอนี่มันเป็นคนอยู่ปะเนี่ย!!!
"กะ แกเป็นใคร ทำไมถึงต้องฆ่าคุณลุง กับคุณป้า!!"
"ในตอนที่แกถูกสลัดตกจาก Jexvoiture(ชื่อเรียกยาน) ไป สงสัยแกคงสูญเสียความทรงจำละสิท่า อีแก่ กับตางั่งนี่มันไม่สำคัญหรอก!! สิ่งสำคัญก็คือ แกต้องตาย!!!" ทันทีที่เขาพูดจบ มือของเขาหันมาหาผม  และกรงจักรกำลังพุ่งมาที่ตัวผม นี่ผมกำลังจะตายงั้นหรือ ไม่นะไม่นะ เอามันออกไป!!!!!!!!!!!
"ไม่หรอกกกกกก!!!!!!!!!!!!!!" ผมร้องเสียงหลง จิตของผมเพ่งไปอยู่ที่กรงจักร และที่สำคัญ มันสามารถหยุดกรงจักได้!!!


"อะไรกัน แกรื้อฟื้นพลังขอแกได้แล้วหรอ หน็อย!!"
"อะไรกัน นี่ฉันมีพลังแบบนี้ด้วยหรอ"
"บอกไปแล้ว ว่าแกคือ PsyX แกคือหนึ่งในผุ้มีพลังควบคุมไง " ผมสนทนาของผมกับนายกรงจักร ในระหว่างที่เรากำลังต้านกรงจักรไปหากัน 
"ไม่อยากบอกอะไรมากหรอก เพราะยังไงแกก็ต้องตาย"

เรื่องสยองในวันลอยกระทง

เรื่องสยองในวันลอยกระทง


ในคืนวันเพ็ญเดือน 12 ซึ่งตรงกับวันลอยกระทง ในเวลา 1 ทุ่ม เป็นเวลาที่ "แจ็ค" กลับถึงบ้านจากโรงเรียน แจ็คถือกระทงที่ซื้อมาจากโรงเรียนมาวางบนโต๊ะ จากนั้นนำธูปและเทียนมาจัดวาง ซึ่งแจ็คได้นัดกับเพื่อนๆเอาไว้อีก 2-3 คน ว่าจะไปลอยกระทงที่คลองข้างสวนสาธารณะ 
แจ็คเปลี่ยนเสื้อผ้าและถือกระทงเดินออกจากบ้าน ตรงไปที่สวนสาธารณะซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 500 เมตร เนื่องจากบริเวณนั้นค่อนข้างมีคนเยอะมาก จึงมีของขายอยู่ตลอดสองข้างทางฟุตบาท 

แจ็คแวะซื้อน้ำปั่นข้างทางก่อนที่จะเดินเข้าสวนสาธารณะ และไปยังจุดนัดพบกับเพื่อน 
"แจ็คมาแล้ว!" กาย เพื่อนของแจ็ค ตระโกนบอกเพื่อนที่เหลือในกลุ่ม
"กว่าจะมา ทำไมนานจังวะ" ธี เพื่อนของแจ็คอีกคนหนึ่งด่าแจ็ค
"โทษๆ รถมันติด" แจ็คตอบ

ทั้ง 3 คนเดินไปที่คลองริมน้ำเพื่อที่จะไปลอยกระทง เนื่องจากคนในสวนสาธารณะค่อนข้างแออัด จึงไม่อยากอยู่นานๆ เพราะทั้ง 3 คน ตกลงกันว่าจะไปเที่ยวที่อื่นต่อ 
"คนเยอะว่ะ ไม่มีที่ให้ลอยเลย" กายบ่น
"นั่นสิ แล้วจะไปลอยตรงไหนได้เนี่ย" ธีเสริม
"ตรงนั้นไง" แจ็คพูดพร้อมชี้ไปที่อีกฝั่งหนึ่งของคลอง ซึ่งปกติจะไม่ค่อยมีคนไปลอยเท่าไรเนื่องจากเป็นป่ารกทึบและมีหญ้าขึ้นสูง 

"มึงจะบ้าเหรอ ใครเขาจะไป" กายด่าแจ็ค
"นั่นสิ ไปคนเดียวเหอะ" ธีเสริม
"เอาน่า ตรงนั้นมีทางเดินโล่งๆอยู่ไง ไปลอยตรงนั้นก็ได้มั้ง" แจ็คชี้ไปข้างๆหญ้ารกทึบ มีทางเดินตรงสะพานสำหรับข้ามฝั่ง สามารถเดินไปได้

"เออ ตรงนั้นก็ได้" กายพูดแบบเซ็งๆ
"อือๆ ไปๆ" ธีเสริม

ทั้ง 3 คนเดินข้ามสะพานปูนเก่าๆไปอีกฟากหนึ่ง แล้วเดินตรงไปที่ทางเดินแคบๆที่มีคนมาทำเอาไว้เพื่อเข้าไปเก็บของป่า 

"ตรงนี้แหละ ลอยกันเลย" แจ็คเชิญชวน
แจ็คนั่งลงแล้วยกกระทงขึ้นเหนือหัว พร้อมอธิฐาน กายและธีก็ทำตาม  ทั้ง 3 คนก็ปล่อยกระทงลงไปในน้ำ 

"เอาความทุกข์ความเศร้าไปกับกระทงนะ"  แจ็คพูดลอยๆ

แจ็คลุกขึ้นยืนและทำท่าจะเดินกลับ แต่เห็นเพื่อนๆยังนั่งอยู่จึงถามว่า

"ทำไมไม่กลับล่ะ ไปกันเถอะ" แจ็คถามเพื่อน
"แปปดิ กระทงกุยังไม่ลอยไปไหนเลยเนี่ย" กายบ่นกับแจ็ค

คลองแห่งมีความกว้างประมาณ 7 เมตร ในบริเวณที่ทั้ง 3 คนอยู่ไม่ค่อยมีแสงไฟเท่าไรและเป็นตรงสะพานจึงไม่สามารถลงมาลอยกระทงได้ บริเวณนั้นจึงมืด แต่ยังมีผู้คนเดินผ่านในอีกฝั่งอยู่อย่างพลุบพล่าน แต่ถ้าไม่สังเกตุดีๆก็คงไม่เห็นว่า ทั้ง 3 คนนั่งอยู่ตรงนี้แน่

กายเอามือวักน้ำให้กระทงลอยออกไป แต่กระทงก็ไม่ได้ไปไหน ลอยวันไปวนมา กายทนไม่ไหวจึงถอดรองเท้าลงไปยืนในน้ำ และจับกระทงออกไปลอยไกลๆ 

"กายระวังนะ" ธีเตือนกาย
"เออน่า!" กายตอบ
"กายมึงจะเดินไปไหนวะ กระทงมึงชนกับของคนอื่นแล้วนะ" แจ็คด่ากาย

กายเดินลุยน้ำไปเรื่อยๆและเดินชนกระทงคนอื่นๆ บางอันก็จม บางอันก็ไหม้ สักพักกายก็เดินขึ้นมา ทั้งที่ตัวเปียกครึ่งตัว

"ป่ะ ไปเดินดูอย่างอื่นกัน" กายบอกเพื่อนๆ และเดินข้ามสะพานไป

แจ็คเดินตามหลังมาท้ายสุด ด้วยความมืดและความประมาท ทำให้แจ็คมองไม่เห็นรูของสะพาน ซึ่งมีบนาดพอดีตัวที่จะตกลงไปได้ 
กายเห็นแจ็คเดินมากำลังจะตกหลุม กายตะโกนบอก
"แจ็ค! ระวังหลุม" กายตะโกนเสียงดังมาก

แจ็คผงะชั่วครู่และมองไปรอบๆ และเดินเลี่ยงออกมาจากหลุมนั้น แต่ด้วยความเก่าของสะพานทำให้ปูนที่แตกออกเพราะฝนจนเผยเหล็กที่เป็นโครงโผล่ออกมา แจ็คเดินสะดุดเหล็กนั้นและพลัดตกลงไปในน้ำ 

"เฮ้ย!! แจ็ค" กายตะโกนเรียก
"ช่วยด้วยคร้าบ มีคนตกน้ำคร้าบ" ธีตะโกนเรียกความช่วยเหลือ

คลองแห่งนี้มีความลึก 2.5 เมตร แจ็คซึ่งว่ายน้ำไม่เป็น พยายามตะเกียกตะกายเข้าฝั่งแต่แล้วก็มุดหายไป
ชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดลงไปและนำร่างของแจ็คขึ้นมาได้ 
แจ็คไม่หายใจแล้ว เพราะบริเวณนั้นเต็มไปด้วยโคลนซึ่งยากแก่การช่วยเหลือมาก แจ็คถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลที่ไกล้ที่สุด

"แจ็คจะเป็นไรไหมเนี่ย" ธีกล่าวด้วยความเป็นห่วง 
ธีหันไปจะคุยกับกาย แต่ก็ไม่พบ เลยคิดว่าเป็นเพราะความวุ่นวายทำให้กายกลับไปแล้วก็เป็นได้

วันรุ่งขึ้น ธีได้ข่าวว่าแจ็คปลอดภัยดีแล้ว จึงไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล  
ธีดูข่าวในโทรทัศน์ พบเด็กจมน้ำเสียชีวิต ธีที่เห็นข่าวนั้นหัวใจแทบหยุดเต้น เพราะว่าเด็กคนนั้นคือกาย 
แต่ที่น่าตกใจคือบริเวณที่พบนั้นก็คือบริเวณที่ทั้ง 3 คน ไปลอยกระทงกันมา 
นั่นก็หมายความว่า กายตายแล้วตั้งแต่ที่ลงไปในน้ำ งั้นคนที่เดินบนสะพานพร้อมเตือนแจ็คคือ!!?




วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บทที่ 2

cha.2

eye past
ตอนนี้ฉันเดินออกมาจากห้องของสารวัตรแล้ว ฉันเดินออกมาด้วยความสงสัยเรื่อง จำนวนนักเรียนของห้อง 3/3 คิดอย่างไรฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี 
ทำไมจากนักเรียนที่มี 48 คน อยู่ๆถึงเหลือเพียง 47 คนได้ ฉันถอนหายใจพรางทบทวนเรื่องในหัวไปด้วย ก่อนที่เท้าของฉันจะหยุดที่หน้าห้อง "สอบสวนคดีหมายเลข 445 " 
ฉันไม่รู้ว่าอะไรทำให้ฉันมาที่นี่ เท้าของฉันออกแรงเดินมาอย่างเรื่อยเปื่อย สมองของฉันคิดไปเรื่อยอย่างเหม่อลอย พอรู้ตัวอีกทีเท้าก็พาฉันเดินมาหยุดหน้าห้องนี้เสียแล้ว คงจะเป็นโชคชะตาหรือมีอะไรดลใจฉันให้มาที่นี่ล่ะมั้ง ฉันยิ้มมุมปากก่อนที่จะจับลูกบิดประตูเพื่อเข้าไปในห้อง แต่ก่อนที่ฉันจะได้หมุนลูกบิดประตู ฉันก็ต้องชะงักและยืนตัวแข็ง เพราะ
ฉันได้ยินเสียงของคนคุยกัน จากน้ำเสียงที่ฉันฟัง ฉันเดาได้ว่าเจ้าของน้ำเสียงทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างกลัวหรือหวาดระแวงอะไรสักอย่าง จากที่ฉันฟัง ฉันสามารถจับคำพูดบางอย่างได้
"ฉันคิดว่าทุกคนคงจะคิด ฮึก คิด ฮึก....ฮือ ว่าเราบ้าาาา ! ถ้าเราบอกเรื่องสิ่งนั้นกับเอ่อ.... ฮึก พวกเขาไป  " 

ใช่ ฉันคิดว่าฉันได้ยินเสียงนักเรียนของฉันกำลังปรึกษาหรือพูดคุยอะไรกันสักอย่าง จากความคิดที่ฉันจะก้าวเดินเข้าไป ฉันก็จ้องชะงักและเงียบฟังนักเรียนของฉันคุยกัน เพราะจากที่ฉันพึ่งคุยกับสารวัตรไป เขาบอกว่าให้ตำรวจหรือนักจิตวิทยาทั้งหมดของที่นี่เข้าไปคุยกับนักเรียนของฉันแล้ว แต่ไม่มีนักเรียนคนไหนเลยใน 8 คน ยอมพูดหรือรับอาหารกับน้ำจากใครเลย หรือว่านั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ฉันเป็นห่วงนักเรียนของฉัน กลัวจะหิวตายหรือเป็นโรคเก็บตัวทำให้ฉันเดินเหม่อลอยมาถึงที่นี่ แต่ว่าในตอนนี้สำหรับฉันมันคงจะไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญกว่าเรื่องที่นักเรียนในห้องกำลังคุยกัน
" แต่เราจะไม่ ฮึก ทำอะไรให้เพื่อน ฮึก ของเราเลยหรอ " ก่อนที่ฉันจะทันคิดอะไรไปอีก น้ำเสียงสะอื้นที่ฟังดูน่าขนลุกและนุ่มนวลปนกันขัดฉันขึ้นให้ฉันกลับเข้ามาในโลกแห่งความจริง
" นาย... มัน ฮึก เห็นแก่ตัว !!!"
" แล้วเธอคิดว่าเธอทำอะไร.....มันได้หรอไง ! "
" เราแค่กลับไปที่ห้องและผลึกมันลงไปแค่นั้นเอง ! อย่าลืมสิว่าเขาฆ่ามันแล้ว "
" ไม่ได้ยินที่เธอพูดก่อนจะจากเราไปหน้าร.ร.หรอ เธอที่รู้ทุกอย่าง เธอที่รู้ทุกสิ่ง เธอที่เคยเป็นเพื่อนเรา " น้ำเสียงที่เคยหนักแน่นของเด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยความมั่นใจกลับอ่อนลง ด้วยคำที่เขาพูดว่า " เธอ "
" เธอพูดว่ามันจะไม่จบถ้าลอยผนึกยังอยู่่ " ....
" ฮืออออออ ทำไมๆๆ ทำไมเรื่องพวกนี้ ต้องเกิดกับพวกเราด้วย พระเจ้ายังเห็นใจเราอยู่ไหม ทั้งๆที่เรากำลังจะมีอนาคตใหม่แล้วทำไม ?" เสียงร้องไห้ดังมาจากนักเรียนหญิงตัวเล็กคนนึง
" นั่นสิเนอะทั้ง ๆ ที่วันนี้เราน่าจะไปร.ร.ด้วยกัน นั่งคุยกัน นั่งกินข้าวด้วยกัน เดินไปงานรับใบจบการศึกษาด้วยกัน " 
นักเรียนคนหนึ่งพูดขณะที่หันหน้าไปทางหน้าต่าง มองท้องฟ้าที่กว้างขว้างด้านนอก

พอนักเรียนในห้องคุยกันถึงตรงนี้ อยู่ดี ๆ ห้องก็เงียบลง ต่างคนต่างกลับมาอยู่ในสภาพเดิม ไม่พูดคุยกับใคร แต่คำพูดของเด็กคนล่าสุดนั้นทำให้ฉันฉุดคิดขึ้นได้ เหตุการณ์ฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นเมื่อวาน ซึ่งเป็นวันก่อนจบการศึกษาของนักเรียนชั้นม.3 คิดแล้วน่าใจหายน่าดู งานในร.ร.ที่ต้องจัดวันนี้ถูกเลื่อนไปอีกเหมือนกันเพราะเกิดเหตุการ์ณนี้ขึ้น แต่ฉันคงไม่โทษเด็กนักเรียนพวกนี้หรอก เพราะไม่มีใครอยากให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น แต่ฉันคิดว่าประโยคที่เด็ก ๆ คุยกัน มันออกจะเพ้อฝันเกินไป พูดถึงผลึกอะไรกันก็ไม่รู้ แต่คงจะเป็นผลข้างเคียงจากเหตุการณ์เมื่อวานก็ได้ ฉันเลยไม่พุ่งความสนใจไปที่ประเด็นนั้น แต่เด็กพวกนั้นพูดถึงใคร  "เธอ" เป็นชื่อเรียกของใครกันนะ แล้วทำไมพวกเขาถึงไม่เรียกชื่ออกมาโดยตรง ทำไมต้องใช้สรรพนามแฝงด้วย มันเพิ่มความสงสัยที่มีอยู่ในตัวฉันมากขึ้น
" อ้าว ! คุณอาย มาทำอะไรตรงนี้ครับ " ฉันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนที่จะหันหน้าไปเผชิญกับบุคคลปริษณาด้านหลังของฉัน
ฉันถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าคือสารวัตรที่รับผิดชอบคดี
"ฉันเป็นห่วงนักเรียนของฉันน่ะค่ะเลยอยากมาเยี่ยมพวกเขาสักหน่อย " ฉันยิ้มตอบเขาไป
"อ่อ เชิญ ๆ ครับ ผมกำลังจะเอาอาหารไปให้พวกเขาพอดีเลย " สารวัตรพูดพรางเปิดประตูเข้าไป
ตอนนี้เป็นตอนที่ฉันได้เห็นสภาพและหน้าตาของเด็ก ๆ อย่างชัดเจน พวกเขาดูแตกต่างจากเวลาอยู่ที่ร.ร.อย่างสิ้นเชิง หน้าตาผอมซีด มือไม้มีรอยบาดแผลอยู่เต็มตัว บางคนมีรอยผ้าพันแผลอยู่เต็มตัว เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย บางคนมีรอยบาดคล้ายแผลเป็นซึ่งเป็นตัวอักษร แต่ฉันมองไม่ชัด เพราะว่าแผลมันเริ่มจางลงแล้ว สภาพของพวกเขาดูแก่เกินไปที่จะเป็นนักเรียนชั้นม.3 พวกเขาเหมือนผู้ใหญ่อายุสักประมาณ 25 - 30 ปี แล้วถูกไล่ล่ามากซะมากกว่า 

สารวัตรวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะด้านข้างและเดินมาหาฉันพร้อมพูดกับฉันว่า
"เชิญคุณคุยกับนักเรียนตามสบาย ทางที่ดีให้เขากินข้าวด้วยนะครับ "
จากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไปเลย ฉันหันมาให้ความสนใจแก่เด็กนักเรียน ฉันพยายามชวนทุกคนคุยและกินข้าวแต่ก็มีนักเรียนบางคนเท่านั้นที่ยอมตอบ และคนที่ตอบก็แค่ตอบว่า ค่ะ/ครับผอ. 

ฉันเหลือบไปเห็นกล่องปฐมพยาบาลอยู่ด้านข้าง ฉันจึงปลงที่จะชวนพวกเขาคุยเลยนำกล่องปฐมพยาบาลมาทำแผลให้พวกเขาแทน ฉันทำแผลให้พวกเขาทีละคนจนมาถึงนักเรียนคนสุดท้ายที่ดูเหมือนเธอจะเหม่อลอยตลอดเวลา ดวงตาของเธอเป็นสีดำหม่นปนเทา ดวงตาของเธอไม่สะท้อนภาพอะไรเลยนอกจากความว่างเปล่าที่ส่งผ่านมาทางความรู้สึก 

ฉันเหลือบมองไปที่ป้ายชื่อของนักเรียนคนนี้ แต่มันกลับมีเพียงแค่รอยคราบเลือดและรอยเหมือนโดนอะไรขีดเป็นแนวเส้นตรงหลายขีด ในวินาทีต่อมาฉันนำผ้าชุบน้ำไปทาที่หน้าของเด็กสาวคนนี้ เพื่อล้างคราบเลือดและคราบความสกปรกของสิ่งต่าง ๆ ออก พอฉันล้างหน้าของเด็กสาวเสร็จ ก็มีสิ่งที่สร้างความตกใจให้อย่างมากคือ ใบหน้าของเธอมีรอยเหมือนโดนอะไรกรีดเป็นทางยาวด้านแก้มซ้าย ฉันพยายามจะถามเธอว่ารอยแผลนี้ไปได้มากจากไหนแต่เธอก็ตอบฉันกลับมาเพียงแค่คำว่า "หึ" แล้วในวินาทีต่อมาฉันก็รู้ได้เลยว่าเธอคงจะรำคาญฉันแล้วเพราะฉันไม่เลิกถามเธอสักที 

เธอลุกขึ้นแล้วใช้ดวงตาที่สะท้อนความว่างเปล่ามองมาที่ฉันแล้วพูดว่า
"หึ หุบปากของเธอซะเถอะ " 
แล้วเธอก็รีบเดินออกจากห้องไป ฉันช๊อคมากกับการที่เธอทำกิริยาแบบนี้กับฉัน แต่ฉันก็ยังเป็นห่วงเธออยู่ดี ฉันรีบจัดแจ้งบอกทุกคนที่เหลือในห้องให้ทานอาหารและน้ำจากนั้นก็รีบวิ่งตามเธอไป พออกมาฉันมองไม่เห็นเธอเลย ฉันจึงพยายามหาเธอทุกทีตั้งแต่ด้านหน้าสถานีตำรวจถึงตึกต่างๆ ตอนนี้ฉันอยู่ที่ตึกชั้นบนสุด ฉันเริ่มท้อกับการตามหาเธอแต่ทันใดนั้นฉันก็หันไปเห็นเธอนั่งอยู่ที่ด้านหลังของสถานีบนโต๊ะม้าหินอ่อน 

ฉันรีบวิ่งไปกดลิฟต์และไปหาเธอทันทีเพราะกลัวว่าเธอจะหนีจากฉันไปเสียก่อน พอไปถึงที่ฉันก็พยายามเดินเข้าไปหาเธอด้วยรอยยิ้มที่จริงใจที่สุดและถามเธอว่า
"เป็นไงบ้างไหม ? วิ่งออกมาแบบนี้ไม่ดีนะจ้า "
เธอหันมามองฉันแวบหนึ่งแล้วหันหน้ากลับไปพร้อมกับคำว่า "หึ" 
ถึงตอนนี้ฉันคิดได้แล้วว่านักเรียนหญิงของฉันคนนี้ควรจะแต่งงานกับคำว่า"หึ"
ได้แล้ว แต่ฉันไม่อยากเถียงเธอเท่าไหร่ ฉันก็เลยตอบไปว่า
"จะบอกครูได้หรือยัง? ว่าเกิดอะไรขึ้น ครูเป็นห่วงเธอทุกคนนะ "
" หึ" 
-*- เธอตอบกลับมาด้วยคำๆเดิมประจำตัวของเธออีกครั้ง  ฉันถอนหายใจผ่านมองไปในท้องฟ้า ความไม่สิ้นสุดของท้องฟ้านี่ดีจังเลยเนอะ
" เธอคิดว่าเราจะช่วยพวกเขาได้ไหม? " 
ฉันตกใจมากที่อยู่ๆเธอก็พูดประโยคที่ฉันไม่เคยคิดว่าจะได้ยินจากปากเธอนอกจากคำว่า " หึ" แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่รู้จะตอบอะไร ฉันจึงเงียบไว้ดีกว่า แล้วเธอก็เริ่มพูดประโยคถัดไปแต่ไม่ได้มองหน้ามาทางฉันเหมือนเธอพูดคนเดียว
" เธออยากรู้เรื่องราวของพวกฉันจริงๆหรอ เธอไม่อยากรู้หรอก " 
ฉันรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่เด็กสาวเริ่มพูดกับฉันอย่างใจเย็นมากขึ้นถึงแม้จะไม่เรียกฉันว่าคุณครูหรือผอ.ก็ตาม ฉันตอบเขาไปว่า
" ครูอยากรู้สิ มากๆด้วย ครูไม่ได้อยากรู้เพราะต้องการจับเธอเข้าคุกหรือเพื่อโรงเรียนแต่ครูอยากรู้เพราะครูจะช่วยพวกเธอ " 
พอฉันพูดจบ เด็กสาวก็หันหน้ามาทางฉันแต่เธอไม่ได้แสดงออกทางสีหน้าว่ากำลังรู้สึกอะไรมีแต่ดวงตาที่สะท้อนความว่างเปล่าของเธอ
" หึ ถ้าอยากรู้มากขนาดนั้น..... กรีนก็จะเล่าให้เธอฟัง " 
ฉันดีใจแล้วก็ตกใจมากๆที่อยู่เด็กสาวก็จะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฉันฟัง มันง่ายขนาดนั้นเลยหรอที่อยู่ดีๆเธอจะมาเล่าให้ฉันฟังง่ายขนาดนี้ทั้งทีทั้งวันฉันพยายามขอร้องให้เธอและเพื่อนของเธอเล่าเรื่องให้ฉันฟังแต่กลับได้มาแค่คำว่างเปล่า แต่ในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้านี้ฉันจะรับรู้เรื่องราวทั้งหมด แต่คำว่ากรีนที่เธอใช้เรียกตัวเองนี้คนเป็นชื่อของเด็กสาวตัวเล็กข้างหน้าฉันสินะ ฉันคลี่ยิ้มบางๆและเขยิบไปใกล้เธอยิ่งขึ้น
" ฉันพร้อมรับรู้เรื่องราวของเธอและก็เพื่อนๆของเธอแล้วหร่ะ กรีน " !!!!

ปลอย"ฟิค"แจ้ ลองอ่านกันดู

อ่านแล้วคอมเม้นด้วยว่าเป็นยังไงอยากรู้
ฟิคนี้เป็นแนว หนอนๆ เอ้ย หมอนๆ เอ้ย หลอนๆ
เกี่ยวกับการตายอย่างปริศนาของนักเรียนกลุ่มหนึ่ง

บทที่ 1

"มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง??????" เสียงของหนุ่มใหญ่ที่บ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยวของเขาทะลุผ่านเสียงที่เปล่งออกมาได้อย่างชัดเจน
"ฉันขอโทษค่ะ ฉัน.. ฉันจะรีบไปจัดการเรื่องนี้นะค่ะท่านผอ.ใหญ่" เสียงหวานของหญิงสาวที่ฟังดูแล้วรับรู้ถึงความหวาดกลัวที่ปิดไม่มิดในน้ำเสียงของเธอ
"ดีมาก อย่าให้ฉันรู้นะว่าเรื่องนี้เผยแพร่ไปที่ไหน ไม่งั้นโรงเรียนเสียชื่อเสียแน่ ถ้ามีหลุดแค่นิดเดียว ฉันเอาเธอตายแน่ อาย!"
"ค่ะ ค่ะ รับทราบค่ะท่านอธิบการบดี ฉันจะรีบจัดการ"
"เอ้อ แล้ว....." ขอขัดจังหวะนะครับ!!!!!!
ตำรวจหนุ่มกล่าว "ขอเชิญคุณอาย ไปให้ปากคำที่ห้องสอบสวนด้วยครับ"
"หึ่ยยย!!" เสียงผอ.ใหญ่กล่าวแสดงถึงความไม่พอใจที่ถูกขัดจังหวะ
"ตกลงค่ะ" อายกล่าว
"งั้นเชิญตามผมมาเลยครับ"
.
.
.
.
.
ณ ห้องสอบสวน [eye part]
"เชิญคุยกับสารวัตรเลยครับ ตอบคำถามไม่ต้องเกร็งนะครับ" ตำรวจหนุ่มกล่าวกองจะเดินออกไปทิ้งให้ฉันนั่งรอสารวัตรอยู่คนเดียว
"เห้ออออออ ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับเราด้วยนะ " ฉันพูดพรางนึกถึงเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่น่าเกิดกับโรงเรียนมัธยมศึกษา แต่มันก็เป็นไปแล้วแถมนักเรียนที่เสียชีวิตก็มีแต่นักเรียนม.3 ด้วย อายุยังน้อยไม่น่ามาเจอเหตุแบบนี้เลย ฉันนั่งคิดพรางทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานในหัว แล้วก็นั่งเปิดแฟ้มประวัตินักเรียนที่ฉันเตรียมมาเพื่อให้สารวัตรเผื่อใช่เป็นข้อมูลอะไรได้บ้าง ทำให้ไม่รู้ว่ามีใครบางคนกำลังจ้องมองฉันอยู่
"คุณอายครับ"
"........"
"คุณอายครับ"
"........."
"คุณอายครับบบบ!!!!!!!!"
"อ๋อค่ะ!!!!" ฉันตกใจที่อยู่ดีๆก็มีคนเรียกฉัน แต่เมื่อหันไปก็เป็นสารวัตรทำให้อุ่นใจมากขึ้น
"เชิญนั่งเลยครับ" สารวัตรกล่าว
"ขอบคุณค่ะ" ฉันกำชับเอกสารในมือแน่นและนั่งลงรามที่สารวัตรบอก
"คือผมต้องการทราบข้อมูลผู้เสียชีวิตและผู้รอดชีวิตทั้งหมดครับ คุณพอจะช่วยผมได้ไหม"
"ค่ะ ฉันเตรียมแฟ้มประวัตินักเรียนและเอกสารบางอันที่น่าจะมีข้อมูลอะไรที่น่าจะพอสืบคดีได้บ้างมาให้แล้วค่ะ"
"รอบคอบจังเลยนะครับ สมกับเป็นผอ.เลยครับ"
"ขอบคุณค่ะ"
ฉันรู้สึกผูกพันธ์กับเด็กห้อง 3/3 อย่างบอกไม่ถูกนั่นอาจเป็นสาเหตุก็ได้ว่าทำไมฉันถึงต้องมานั่งอยู่ที่นี่ในเวลานี้ เด็ก 48 นั่นถือเป็นความทรงจำที่ดีมากๆของฉันตั้งแต่ตอนฉันย้ายเข้ามาบรรจุใหม่ๆ เฝ้ามองพวกเขาเติบโตขึ้นไปทุกปีแต่ตอนนี้คงไม่มีอีกแล้ว
ปึงงงงง~!!! สารวัตรวางแฟ้มอย่างแรงจนฉันต้องชะโงกหน้าไปมองวาดเกิดอะไรขึ้น
ปรากฎว่าเขาทำแฟ้มเอกสารของฉันตก ฉันจึงลุกขึ้นไปช่วยเขาเก็บ

"ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/3 จำนวน 47 คน"

เมื่อฉันเห็นกระดาษแผ่นนึงเขียนถึงจำนวนนักเรียนของห้องนี้ มันสร้างความตกใจให้ฉันเป็นอย่างมาก เพราะ เท่าที่ฉันจำได้ถ้าหากจำไม่ผิด แต่ห้องๆนี้ห้องที่ฉันเฝ้ามองมาตลอด ฉันมั่นใจว่านักเรียนห้องนี้มีจำนวน 48 คน แล้ว แล้วทำไม ทำไม....ทำไมอยู่ดีๆนักเรียนห้องนี้กลายเป็น 47 คนไปได้ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!!!!

ปล.ของเพือนแต่งมา 555+
---->>>บทที่2